Skip to content

จาริกแสวงบุญปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม จากสังฆมณฑลเชียงใหม่ สู่สังฆมณฑลหล่อยก่อประเทศเมียนมาร์
เมื่อวันที่ 20-21 มิถุนายน 2559 บาทหลวง 11 องค์ ซิสเตอร์ 7 ท่าน บราเดอร์ 1 ท่านและสัตบุรุษ 7 ท่าน จากสังฆมณฑลเชียงใหม่ ซึ่งนำโดย คุณพ่อ บุญเลิศ สร้างกุศลในพสุธา อุปมุขนายก ไปแสวงบุญและเยี่ยมเยียนเพื่อสงฆ์ที่ประเทศเมียนมาร์

วันที่ 20 มิถุนายน 2559 
จุดนัดหมายรวมกันคือที่ศูนย์คาทอลิกขุนยวมวันที่ 20 มิถุนายน 2559 เวลา 11.00 น. พร้อมกับจัดของและรับประมานอาหารเที่ยง (แต่ต้องเปลี่ยนแปลงตารางทันทีเมื่อได้ทราบข่าวว่าชาวบ้านที่ฝั่งเมียนมาร์รับเป็นเจ้าภาพอาหารมื้อเที่ยง) ฉะนั้นการเดินทางจึงเริ่มขึ้นเมื่อ 11..00 น.ที่ขุนยวมด้วยรถกระยะขับเคลื่อน 4 ล้อ 6 คัน พร้อมกับสัมภาระ (สัมภาระส่วนใหญ่ก็มีรถที่ขนไปล่วงหน้าแล้ว) การเดินทางนั้นก่อนที่จะข้ามแดนไทยใชเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยผ่านด่านของไทย 2 ด่าน แต่ได้รับความสะดวกดีมาก เพราะมีคุณทวีวิทย์ซึ่งเป็นพ่อค้าได้ประสานงานให้และทหารพรานที่อยู่ส่วนใหญ่เป็นปกาเกอะญอและเป็นคาทอลิกจึงไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาคือเส้นทาง (ระหว่างด่านสองของไทยกับด่านของเมียนมาร์นั้นเส้นทางหฤโหดมาก เพราะเท่าที่ดูแล้วหากฝนตกแล้ว แม้รถโฟว์วีล ใส่เกียร์โลว์ ก็ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นได้ เพราะเส้นทางสูงชัน และลื่น) ด่านสุดท้ายเป็นด่านของเมียนมาร์ ด่านนี้มีปัญหานิดหน่อย เพราะว่าคนที่มีชื่อบางคนไม่มา ส่วนคนที่มาบางคนไม่มีชื่อ คุณพ่อหลายองค์ต้องเปลี่ยนชื่อ ซิสเตอร์บางท่านต้องเป็นบราเดอร์แทน อย่างไรก็ตามที่ด่านเมียนมาร์นี้คุณพ่อได้ส่งคนไปรอรับคือในอำเภอในพื้นที่มารับพวกเราด้วยตัวเอง เพราะว่าพวกเรามาเป็นเหมือนแขกทางการจึงต้องดูแลความเรียบร้อยอย่างเต็มที่ อะไรที่ไม่เข้าที่พวกเขาก็จัดให้เรียบร้อย การเดินทางเข้าเมียนมาร์มีหลายเรื่องที่น่าสนใจ อย่างแรกคือรถทุกคันที่มาจากประเทศไทยต้องถอดป้ายทะเบียนออก หรือไม่ก็ต้องปิดป้ายทะเบียนไว้ อย่างที่สองคือ เจ้าหน้าที่เมียนมาร์ให้เกียรติบาทหลวงนักบวชมาก เพราะเมื่อพวกเขาเห็นบาทหลวงในชุดหล่อ หรือรถติดเครื่องหมายกางเขน พวกเขาก็อำนวยความสะดวกให้อย่างดี แม้พวกเขาไม่ใช่คริสตชนก็ตาม อย่างที่สามคือถนน ขับรถด้านขวา และถนนที่เราเดินทาง ก็จะลาดยางตรงกลาง คือลาดยางเป็นเลนเดียว แต่ไหล่ทางกว้าง ผมคิดหาเหตุผลว่าทำไมตั้งนาน แต่คิดไม่ออก เพียงแต่สันนิษฐานว่า สร้างถนนแบบนี้ประหยัดดี เพราะนาน ๆ รถใหญ่ถึงจะสวนกันที ฉะนั้นการทำลาดยางสองเลนก็เปลืองงบประมาณ จึงทำเลนเดียวก็พอ เพราะเมื่อเจอกันต่างคนต่างก็ลงไหล่ทาง เมื่อผ่านไปแล้วก็วิ่งเลนตรงกลางเลย เพราะบางทีครึ่งชั่วโมงยังไม่มีรถสวนกันเลย และถนนจะเป็นลูกคลื่นตลอด ไม่เรียบเหมือนบ้านเรา ข้อดีคือคุณไม่สามารถใช้ความเร็วเกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงไม่มีอุบัติเหตุ ข้อเสียคือวันรุ่นไม่ทันใจ (คนบ้านเราครับ)
เมื่อผ่านด่านพม่าเข้าไปแล้ว สถานที่แรกคือวัด นักบุญยอแซฟ บ้านวังกลาง ที่ที่ชาวบ้านและคุณพ่อเจ้าวัดคือพ่อริชาร์ด ได้ต้อนรับเราด้วยอาหารมื้อเที่ยงอย่างเต็มที่ และสถานที่ทุกที่เราไปถึงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็จะมาดูแลเรา เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ หลังอาหารเราได้มอบของให้ที่นี่ส่วนหนึ่ง จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ เป้าหมายต่อไปคือบ้านซิสเตอร์ แต่วันนี้เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ไปเพราะว่าในรายการที่แจ้งไปนั้นเกิดความสับสนกันนิดหน่อย จึงอนุญาตให้ไปพรุ่งนี้แทน เมื่อไม่อนุญาตเราก็ไม่เถียง เพราะบ้านของเขาส่วนเรานั้นแล้วแต่เขาว่า ฉะนั้นเราจึงเดินทางต่อไปที่เป้าหมายคือ วัดพระหฤทัยพระเยซูเจ้า ผาซอง แต่ระหว่างทางเราก็เห็นมีการสร้างวัดใหม่ จึงแวะเข้าไปเยี่ยมคุณพ่อเจ้าวัดที่นั้นสักพักหนึ่ง และเดินทางไปยังวัดพระหฤทัยพระเยซูเจ้า ก่อนที่จะไปถึงวัดนั้นต้องข้ามแม่น้ำสาละวิน โดยสะพานใหม่เอี่ยมได้รับความช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่น ข้ามสะพานแล้วเจอด่านตำรวจของเมียนมาร์ด่านแรก (เมื่อปัสกาที่แล้วผมไปกับคุณพ่อคำมา ที่นี่เป็นที่เราถูกกักตัว เพราะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เรามีล่ามคนหนึ่งไปคุยกับตำรวจแล้วเข้าใจกัน แต่ไม่ยอมบอกเราว่าคุยอะไรกัน กว่าจะรู้ว่าที่เราถูกกักตัวนั้นเพื่อความปลอดภัยของพวกเราเอง หายโมโหเลยครับ)
เมื่อมาถึงวัดคุณพ่อ โพฉ่วยได้รอต้อนรับพวกเราแบบคุ้นเคย เพราะเรารู้จักกันมาก่อนแล้ว และเตรียมการต้อนรับเราอย่างดี ส่วนตารางต่าง ๆ ที่เราเตรียมไว้ก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราไปถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็นบ้านเรา ของเขาสี่โมงครึ่ง (ห่างกันครึ่งชั่วโมง) ฉะนั้นยังมีเวลาว่างพอที่จะทำอะไรอิสระได้ บางคนก็ไปเที่ยวดูสถานที่ บางคนก็ไปตลาด การไปตลาดนั้นต้องแลกเงิน จึงแลกเงินเมียนมาร์ใช้เงินจั๊ต ประมาณ ว่า 100 จั๊ตเท่ากับ 30 บาท บางคนที่แลกเป็นพัน ก็ได้จั๊ตเป็นหมื่น รวยละทีนี้หลังจากที่พักผ่อนกันแล้ว เย็นนี้เราก็มีมิสซาในการแสวงบุญ ที่น่าสังเกตคือ ไปที่ประเทศเมียนมาร์ มีแต่ชาวปกาเกอะญอ แต่ทำมิสซาเป็นภาษไทย หลังมิสซาทานอาหารเย็น พักผ่อนตามสบาย แต่อากาศร้อนมาก
วันที่ 21 มิถุนายน 2559 
ตอนเช้าเรานัดกันกันมิสซาต่อจากเด็กหอพัก ช่วงที่เด็กร่วมมิสซา พวกเราก็เตรียมตัวและเก็บเงินมิสซาสำหรับมอบให้กับวัด แต่ละคนตามกำลังศรัทธาไม่ว่าบาทหลวง ซิสเตอร์ ฆราวาส ปรากฏว่ามีคุณพ่อเจ้าวัดองค์ที่อยู่วัดที่ลำบากกว่าเพื่อน แต่จะมอบเงินทำบุญเหมือนคนอื่น ๆ แต่เพื่อน ๆ หลายคนจึงไม่ยอม จึงลดเหลือครึ่งหนึ่ง (ไม่ใช่บังคับกันไม่ให้ทำบุญ แต่เพื่อนๆ เห็นใจ เพราะกลัวว่าคุณพ่อเขาจะไม่มีกินมีใช้ในเดือนนี้) ก่อนมิสซาของกลุ่มของเราก็เริ่มด้วยศีลอภัยบาป เพราะเราเป็นกลุ่มแสวงบุญ การที่จะได้รับพระคุณได้ ต้องทำตามเงื่อนไข อย่างหนึ่งที่สำคัญคือรับศีลอภัยบาป ซึ่งพวกเราทุกคนก็รับศีลอภัยบาปโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นตามด้วยมิสซา ภาษาอังกฤษ เพราะคุณพ่อชาวเมียนมาร์ 3 องค์ ทำมิสซาให้กับเรา หลังมิสซาเป็นอาหารเช้า เรื่องอาหารพวกเราไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้แตกต่างจากบ้านเราเลย หลังอาหารเช้าเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ การแบ่งปันงานอภิบาลของคุณพ่อเจ้าวัด โดยสรุปคือ
ประเทศเมียนมาร์ มีคริสตชนประมาณ แปดแสนคน มี 16 สังฆมณฑล ( 3 อัครสังฆมณฑล) มีคาร์ดินัล 1 องค์ บิชอปเกษียณ 5 องค์ บิชอปประจำสังฆมณฑลอีก 15 องค์ สำหรับสังฆมณฑลหล่อยก่อ มี 36 เขตวัด คริสตชน 84,190 คน บาทหลวง 136 องค์ (พื้นเมือง 98 องค์ นักบวช 38 องค์ ซิสเตอร์ 210 ท่าน (จาก 9 คณะ) ครูคำสอน 212 คน สำหรับสามเณรรับเมื่อจบ ม. 6 แล้ว เรียนต่อปรัชญา 2 ปี 1 ปีสำหรับฝึกฝนชีวิตจิตละอีก 4 ปีสำหรับเรียนเทววิทยา (ทุกวิชาต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษ)
หลังจากการแบ่งปันแล้ว เราเดินทางกลับไปยังวัดที่ต้องไปเมื่อวานแต่ไม่ได้รับอนุญาต แต่วันนี้ไปได้ซึ่งอยู่ในความดูแลของคุณพ่อริชาร์ดเหมือน ที่นี่ผมได้ขอคุณพ่อช่วยเตรียมอาหารเที่ยงให้กับพวกเรา (คุณพ่อบอกว่าที่นี่มีกลุ่มสตรีที่ตั้งชื่อว่า “อันนา” เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นคล้ายกลุ่มพลมารีย์ เป็นกลุ่มที่ช่วยเหลือวัดเมื่อมีงานต่าง ๆ) หลังอาหารก็เดินทางต่อยังบ้านซิสเตอร์มารีอา บัมบีนา ซึ่งซิสเตอร์บอกว่าดีใจมากที่มาเยี่ยมพร้อมกับของที่เรามอบให้ ซึ่งมีทั้งมาม่า ปลากระป๋อง น้ำปลา ขนมปังปิ๊บ เสื้อผ้าอีกกว่า 10 ถุง ฯลฯ ทุกที่ที่เราแวะเยี่ยม เราก็ได้แบ่งปันของที่เรานำมาจากประเทศไทยให้กับชาวบ้าน ศูนย์ หรือวัดต่าง ๆ และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับ คุณพ่อโพฉ่วยก็มาส่งเราถึงชายแดน พร้อมกับนายอำเภอท้องที่และสมาชิกจำนวนหนึ่ง เมื่อข้ามแดนมาได้แล้ว ถือว่าภารกิจสำเร็จ
อาจจะมีคนข้องใจว่า ทำไมต้องไปแสวงบุญแค่ชายแดน ทำไมไม่เข้าไปข้างในลึก ๆ เลย หรือทำไมต้องไปเมียนมาร์ ผมมีคำตอบในใจว่า ความตั้งใจแรกคือ แสวงบุญวัดที่ได้รับการประกาศ อยากไปเยี่ยมเพื่อนบาทหลวงและคริสตชนประเทศเพื่อนบ้าน อยากจะแบ่งปันสิ่งที่เรามีให้กับพวกเขา สามสิ่งนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อไปในรูปแบบนี้เท่านั้น เพราะถ้าเรานั่งเครื่องบินไปในกรุงย่างกุ้ง เราก็จะพบแต่ความเจริญเหมือนทั่วไป เราคงจะได้พบบาทหลวงที่ทำงานในส่วนกลางเท่านั้น เราคงไม่สามารถไปแจกจ่ายอะไรให้กับคนที่ต้องการจริง ๆ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน ผูประสานงาน ตลอดขนผู้ที่ช่วยเหลือ พระคุณเจ้า วีระ อาภรณ์รัตย์ คุณวิทูรย์ เจริญวิชา พี่ วิลาวัลย์ ศิริรัตน์ มาสเตอร์ ปรีชา วิจิตรพร แม่บุญแป้น พี่กาญจน์ พี่วิชัย สัตบุรุษวัดนักบุญเปโตรแม่ลาน้อย โรงเรียน เรยีนา เชลี วิทยาลัย โรงเรียนพระหฤทัยเชียงใหม่ และโรงเรียนมงฟอร์ต วิทยาลัย ตลอดจนผู้ที่บริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคทุกท่านด้วย พวกเราเป็นแค่เครื่องมือที่นำไปเท่านั้น ขอพระเจ้าได้ตอบแทนในน้ำใจดีของทุกท่านเทอญ

 

คุณพ่อบุญเลิศ สร้างกุศลในพสุธา

 

1