
อาทิตย์ที่สอง เทศกาลปัสกา (วันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา)
27 เมษายน 2014
บทอ่าน กจ 2: 42-47 ; 1 ปต 1: 3-9 หรือ ยน 20: 19-31
พระวรสารสัมพันธ์กับ คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก(CCC) 442, 448, 514, 575, 643, 659, 730, 788, 858, 976, 1087, 1120, 1287, 1441, 1461, 1485, 2839,
ประมวลคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร (CSDC) 491
จุดเน้น บรรดาศิษย์ได้ชื่นชมยินดี เมื่อได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
บรรดาศิษย์ได้ชื่นชมยินดีเมื่อพวกเขาได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราล่ะ ถ้าบางคนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ เผอิญเขาไปร่วมมิสซาเช้าวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นพิธีกรรมเฉพาะของเราคาทอลิก แขกคนนี้จะประทับใจในความปีติยินดีของเรา (เวลาร่วมพิธีมิสซา) ไหม ถ้าพี่น้องตอบว่า “ไม่” ทำไมถึงไม่ล่ะครับ เหตุผลส่วนหนึ่ง คือ เราเน้นว่ามิสซาวันอาทิตย์เป็นเหมือนข้อบังคับ
พี่น้อง มิสซาวันอาทิตย์มีความหมายมากกว่าเป็นข้อบังคับ คือ เป็นการฉลอง บทอ่านพระวรสารวันนี้บอกเราเกี่ยวกับวิธีที่พระเยซูเจ้าได้ฉลองสองอาทิตย์แรกอย่างไร พร้อมกับบรรดาเพื่อนสนิทที่สุด หลังจากที่พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพ “ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์” วันปัสกา บรรดาเพื่อนสนิทที่สุดตกใจ คาดหวังที่เห็นพระเยซูเจ้าเป็นสิ่งสุดท้ายหลังจากเรื่องเศร้าใจที่เขากัลวาริโอก่อนหน้านั้นสองวัน พวกเขาได้พบว่าร่างกายของพระเยซูเจ้าไม่ได้อยู่ที่พระคูหา กลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้น บรรดาศิษย์จึงได้ปิดประตูห้องที่พวกเขาได้ชุมนุมกัน
พวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยความปีติยินดีอย่างไร ที่พระเยซูเจ้าต้องได้ทำให้บรรดาเพื่อนแปลกใจ แม้ประตูถูกปิดล็อคอยู่ก็ไม่สามารถขัดขวางพระองค์ในบัดนั้นได้ พระเยซูเจ้าได้กลับมีชีวิตเดิมที่ได้จบลงที่เขากัลวารีโอ พระองค์ได้ถูกยกสู่ชีวิตใหม่และสูงค่ากว่า พระวรสารได้บอกเราว่าพระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมายังห้องเดิมนั้น “แปดวันต่อมา” จึงตกเป็นวันอาทิตย์ วันต้นสัปดาห์อีก
พระเยซูเจ้าทรงทักบรรดาศิษย์ที่กำลังตกใจกลัว ด้วยคำทักทายของชาวยิว คือ “ซาโลม สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน” สันติสุขที่พระองค์ทรงมอบให้มีคุณค่ามากกว่าเพียงการไม่มีใครเอาใจใส่และปราศจากความกังวล ก่อนถูกตรึงไม้กางเขน พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย เราให้สันติสุขของเรากับท่าน เราให้สันติสุขกับท่านไม่เหมือนกับที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหวหรือมีความกลัวเลย” (ยน 14:27) โลกไม่สามารถให้ของขวัญนี้ได้เพราะสันติสุขที่พระเยซูเจ้ามอบให้มิได้มาจากโลกนี้ แต่มาจากพระเจ้า ผู้ใดที่พร้อม ผู้ที่มีความสัมพันธ์ มีความรัก ไว้วางใจในพระเยซู
คริสตเจ้าเท่านั้นจึงจะได้รับ
อย่างไรก็ตาม เพื่อรับของขวัญทุกชิ้นขององค์พระผู้เป็นเจ้า มีเงื่อนไขเข้มงวดประการเดียว คือ สิ่งที่เราได้รับเปล่าๆ เราต้องแบ่งปันกับผู้อื่นเปล่าๆ ด้วย ดังนั้นทันทีที่พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า
“พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” และเพื่อช่วยพวกเขาให้ปฏิบัติได้สำเร็จ พระองค์ทรงมอบพระพรอีกอย่างหนึ่ง คือ พระจิตเจ้า พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย เหมือนพระเจ้าทรงเป่าลมแห่งชีวิตเข้าในจมูกของอาดัม มนุษย์คนแรกในการเนรมิตสร้าง (ปฐก 2:7) พระเยซูเจ้าทรงบอกเรื่องพระจิตเจ้าและเรื่องอำนาจการอภัยบาปอาศัยพระจิตเจ้า อำนาจนี้อยู่ในพระศาสนจักรปัจจุบัน ในศีลแห่งการคืนดีนั่นเอง
ในเย็นวันปัสกาครั้งแรก บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าในห้องที่ปิดอยู่นั้น ได้เปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีที่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอีก และได้ยินเสียงของพระองค์ที่คุ้นเคย เราที่ไม่สามารถเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ หรือไม่สามารถได้ยินเสียงของพระองค์ เราได้รับความรอด อาศัยดวงตา และหูแห่งความเชื่อ เราสามารถร่วมมีส่วนในความปีติยินดีของบรรดาศิษย์ พระเยซูเจ้ามีของขวัญและพระพรมิใช่สำหรับบรรดาเพื่อนกลุ่มแรกเท่านั้น แต่สำหรับเราด้วย ดังพระวาจาของพระองค์ที่ตรัสกับเราในวัดนี้ว่า “ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็นก็เป็นสุข” หมายความว่า ความสุขและความปีติยินดีเป็นของทุกคน แม้ไม่ได้เห็นแต่มีความเชื่อ
บิชอปวีระ อาภรณ์รัตน์ แปล
จาก Homilies โดย Catholic Diocese of Lansing,
(เมษายน – มิถุนายน 2014), หน้า 175-176.